เทพรา (Ra) เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ของชาวอียิปต์
Ra,Amen(ดวงอาทิตย์-สุริยเทพ)
หรือ “เทพเจ้ารา” เป็นเทพสูงสุด หรือ
สุริยเทพผู้ยิ่งใหญ่แห่งเฮลิโอโปลิส นครสิริยะ ความหมายของคำว่า”รา” ก็คือ ผู้สรรค์สร้างสิ่งต่าง ๆ
และเป็นคำแรกที่นำถูก ใช้คู่กับคำว่า “ซัน” ซึ่งแปลว่า ดวงอาทิตย์ ภายหลังจึงได้กลายมาเป็นพระนามของเทพเจ้า
เทพเจ้าราถูกเปรียบเปรยไปในหลายทิศทาง
ทำให้มีสัญลักษณ์และพระนามเป็นจำนวนมาก ยกตัวอย่างเช่น บางคนกล่าวว่า รา-ฮารัคเต
เป็นเทพเจ้าที่มีศีรษะเป็นหัวเหยี่ยว และสวมมงกุฎที่เป็นแผ่นวงกลมรูปดวงอาทิตย์
อีกทั้งยังปกคลุมด้วยงูเห่าบนศีรษะที่กำลังแผ่แม่เบี้ย ส่วน ฮารัคเต มีความหมายว่า
เทพฮอรัสแห่งขอบฟ้ากว้างไกล หรือหมายถึง ต้นกำเนิดของพระอาทิตย์นั่นเอง นอกจากนี้
เทพเจ้า รา-ฮารัคเต ยังมีบทบาทสำคัญในการเป็นสุริยเทพแห่งเฮลิโอโปลิส
ซึ่งชาวไอยคุปต์ยกย่องนับถือตลอดมา
เทพเจ้ารา
ได้รับยกย่องว่าเป็นพระบิดาและราชาแห่งเทพยดาทั้งหลาย อีกทั้งยังเชื่อกันว่า
พระเสโทและน้ำพระเนตรของพระองค์ เป็นจุดก่อกำเนิดให้เกิดมาเป็นมนุษย์
และสิ่งมีชีวิตทั้งปวง ความเชื่อตามตำนานเล่าขานเอาไว้ว่า
เทพเจ้าราทรงเป็นผู้ปกครองโลกที่พระองค์ทรงเนรมิตขึ้นมาเอง ภายหลัง
พระองค์ได้ทรงแปลงกายเป็นมนุษย์ เพื่อไปทำหน้าที่เป็นฟาโรห์พระองค์แรก
และดูแลปกครองอาณาจักรไอยคุปต์จนเติบโตและเจริญรุ่งเรืองสืบมา
เวลาผ่านไป
เมื่อพระองค์ทรงชราภาพและไม่แข็งแกร่งดังเดิม
ทำให้มีประชาชนบางกลุ่มคิดคดทรยศต่อพระองค์ ทำให้พระองค์ตัดสินใจใช้ตาไฟเพื่อลงโทษ
และทำลายชีวิตกลุ่มประชาชนดังกล่าวให้มอดไหม้ อย่างไรก็ตาม
ได้มีบุคคลอื่นๆทูลเสนอความคิดเห็นว่า แม้การกระทำของพระองค์จะสามารถปราบคนชั่วได้
แต่ก็อาจจะมีผลทำให้บุคคลผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเดือดร้อนตามไปด้วยได้ ดังนั้น
พระองค์จึงทรงเนรมิต เทวีฮาเอทร์ ซึ่งมีเป็นร่างสิงโตเพศเมียตัวใหญ่
และมีนิสัยดุร้าย ให้ออกไปตามล่ากลุ่มมนุษย์ผู้กระทำผิดเหล่านั้น
สิงโตตัวนี้ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่
และได้ฉีกเนื้อมนุษย์ผู้กระทำผิด พร้อมทั้งดื่มเลือดเป็นอาหาร
จนในที่สุดการกระทำของสิงโตก็ลุกลามไปเป็นการล่าเหยื่อมนุษย์บริสุทธิ์อย่างเมามัน
เมื่อเทพเจ้าราทราบเรื่อง
พระองค์ก็ทรงเศร้าพระทัยเป็นอย่างมากกับการกระทำที่พระองค์ทำผิดไป
พระองค์พร้อมด้วยเหล่าเทพยดาจึงทรงเสด็จขึ้นสู่สรวงสวรรค์และได้กลายเป็นดวงดาวต่าง
ๆประดับท้องฟ้า ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นจุดกำเนิดให้สวรรค์กับโลกแยกจากกัน
ยังมีตำนานเล่าต่ออีกว่า
ดวงอาทิตย์หรือเทพเจ้าราจะเดินทางจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก
ซึ่งพาดผ่านขอบฟ้าในทุกๆวัน โดยมีพาหนะเป็นเรือแมนเจ็ต
เทพเจ้าราจะเดินทางพร้อมด้วยเหล่าเทพเจ้าอื่นๆ
ที่จะคอยทำหน้าที่ปกป้องและทำลายศัตรูที่เข้ามาขัดขวางการข้ามขอบฟ้าในทุกวัน
โดยมีพญางูยักษ์เอเป็ป ซึ่งอาศัยอยู่ในวังน้ำลึกของแม่น้ำไนล์
เป็นหัวหน้ากลุ่มศัตรูของเทพเจ้ารา
เทพเจ้ารานั้นสามารถเปลี่ยนร่างไปมาได้
โดยหากเทพเจ้าราทรงเกิดขึ้นตอนเช้าจะมีลักษณะเป็นเด็ก
ตอนกลางวันจะมีลักษณะเป็นผู้ใหญ่ ส่วนตอนเย็นจะมีลักษณะเป็นคนชรา
และจะต้องตายในคืนนั้น
ซึ่งเรื่องเล่านี้เกี่ยวพันกันกับตำนานของเทพเจ้าราในขณะที่ทรงปกครองโลก
ตำรากล่าวไว้ว่า
เมื่อใดที่เทพเจ้าราเสด็จเดินทางโดยเรือในยามรัตติกาล
พระองค์ก็จะจำแลงกายโดยเปลี่ยนศีรษะเป็นรูปหัวแกะ
และพระองค์ก็ยังทรงมีพระนามอีกชื่อหนึ่งว่า “อัฟ-รา” หรือ
“อัฟ” ซึ่งแปลว่า ซากศพของคนตาย
พระองค์ทรงเดินทางตลอดเวลายาวนานสิบสองชั่วโมงในช่วงเวลาแห่งความมืด
โดยเรือที่ทรงประทับ คือ “เมเซ็ค เค็ต” (เรือยามราตรี) หากกล่าวถึงความเชื่อของชาวไอยคุปต์แล้ว
พวกเขาจะเห็นตรงกันว่า เมื่อฟาโรห์และมนุษย์ตายไปแล้ววิญญาณของพวกเขาจะไปอยู่ในรูปของดวงดาว
ซึ่งจะมีหน้าที่ในการรับใช้หรือเป็นลูกเรือสุริยะ
ดวงดาวทั้งหลายนี้ไม่ได้หายไปในช่วงเวลากลางวัน
แต่จะไม่สามารถมองเห็นได้แม้ว่าพวกมันจะอยู่ที่เดิม
ทั้งนี้ก็เป็นผลมาจากแสงของดวงอาทิตย์ที่สาดส่องมาบดบังเหล่าดวงดาวไว้นั่นเอง
ทั่วทั้งอาณาจักรไอยคุปต์ต่างพากันสรรเสริญและเคารพบูชาเทพเจ้าราดันทั้งสิ้น
เพราะพระองค์ถือเป็นผู้สร้างโลกและจักรวาล รวมไปถึงหมู่มวลเทพยดาทั้งหลาย
ในสมัยยุคอาณาจักรเดิม ที่มีบรรดาฟาโรห์ปกครองอาณาจักรไอยคุปต์
กษัตริย์เหล่านี้มักจะอ้างตนว่าเป็นโอรสของเทพเจ้าราเสมอ
และมักจะสวมเครื่องรางรูปพระเนตร ซึ่งหมายถึงอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์และสูงสุด
อันแสดงถึงสัญลักษณ์ของเทพเจ้าราเอาไว้ด้วยแน่นอน
cr.http://www.tumnandd.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น